ความนิยม 6
คุณอยากเป็นใคร ระหว่างคนชนะแบบวิกลจริต กับคนแพ้อย่างสบายอารมณ์?
ถามใหม่ให้เข้ากับธรรมดาโลกมากขึ้นหน่อย คุณอยากเป็นใครระหว่างคนแพ้กับคนชนะ?
หากไม่หลอกตัวเอง เกือบทุกคนจะบอกว่าอยากเป็นคนชนะ
เพราะอะไร? ก็เพราะรู้สึกว่าชนะ ต้องดีกว่ารู้สึกว่าแพ้น่ะสิ!
จำได้ไหมว่าชนะครั้งสุดท้ายรู้สึกยังไง?
แล้วแพ้ล่ะ… รู้สึกยังไง?
‘แพ้’ คำเดียวให้ความรู้สึกหนึ่งเดียวชัดเจน ชีวิตจิตใจคือความย่อยยับอับปาง
‘ชนะ’ คำเดียวให้ความรู้สึกหลากหลายกว้างขวาง ชีวิตจิตใจคือการยืนถ่างขาหัวเราะบนหลังคาโลก คือการด่ำดื่มในมหาสมุทรทิพย์ คือการลอยอยู่บนห้วงฟ้าแห่งรอยยิ้มอิ่มเอม
กลั่นหัวใจจาระไนคำ คนแพ้อาจนึกไม่ค่อยออก อับจนปัญญา ส่วนคนชนะร่ำรวยคำพูด บรรยายความรู้สึกได้สิบหน้าไม่ซ้ำ
หากคุณเคยมีประสบการณ์วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก หูยินเสียงร้องเชียร์กึกก้องแสบแก้วหู สายตาพบแต่ความโล่งกว้างเพราะไม่เห็นหลังใครบังท้องฟ้าเบื้องหน้า มีแต่คุณกับเส้นชัยประจัญกันเดี่ยวๆ คุณคงรู้ดีว่ารสหวานชื่นที่สุดของการมีชีวิตเป็นอย่างไร ช็อกโกแลตเรียกพี่ ว่างั้นเถอะ
แต่ถ้าคุณเป็นรอง หรือหนักกว่านั้นคือแพ้หมด ตกที่นั่งโหล่ คุณจะเห็นว่าผู้ชนะไม่ได้เอาไปแค่ชัยชนะ แต่เหมือนปล้นเอาพลังชีวิตของคุณติดมือเขาไปด้วย…
ผู้ชนะ… อาจสะใจที่คนแพ้เจ็บใจ
คนแพ้… อาจเจ็บใจที่ผู้ชนะสะใจ
ชื่อว่าคว้าชัยชนะมา เพราะเหยียบบ่าคนอื่นขึ้นสูงได้สำเร็จ ชื่อว่าพ่ายแพ้ เพราะต้องก้มหลังเป็นบันไดให้คนอื่นย่ำผ่าน
ธรรมชาติจัดสรรให้มนุษย์อยากแข่งขันเอาเป็นเอาตายกันมาตั้งแต่อยู่ในห้องเรียนตอนเด็กๆ บางบ้านนิยมตีก้นลูกฉลองบ๊วย ติดตามมาด้วยการเคี่ยวเข็ญเข้มงวดให้ติวเข้ม สอบคราวหน้าจะได้ยัดเยียดบ๊วยให้ลูกบ้านอื่นกินมั่ง ผลัดๆกัน
มนุษย์เราไม่ว่าเผ่าพันธุ์ไหน ไม่ค่อยสอนให้ลูกหลานรู้จักแพ้ มีแต่ยุยงให้เอาชนะ ถึงแม้พูดกันบ้างว่าแพ้ชนะเป็นเรื่องธรรมดา ก็เหมือนปากว่าตาขยิบกันไปหมด
ไม่สอนให้รู้จักแพ้เพราะอะไร? เพราะไม่มีใครเห็นเข้าไปให้ซึ้งถึงความสำคัญของการพ่ายแพ้ ไม่มีใครรู้ซึ้งจริงๆว่าถ้าเอาแต่ชนะ จะเกิดผลเสียอย่างไรบ้าง
ชัยชนะอาจแปรคนถ่อมตัวเป็นคนลืมตัว
ชัยชนะอาจเปลี่ยนคนมัธยัสถ์เป็นคนสุรุ่ยสุร่าย
ชัยชนะอาจแปลงคนใจเย็นให้เป็นคนมักโกรธ
ชัยชนะอาจก่อศัตรูผู้เจ็บใจขึ้นอย่างน้อยหนึ่งคนในแต่ละสนามแข่ง
ชัยชนะอาจแย่งเวลาหายใจเพื่อตัวเองไปหายใจเพื่อคนอื่นที่มารุมล้อมหาประโยชน์
จากข้อเท็จจริงประมาณนี้ ก็เอามาคิดต่อได้แล้ว ว่าถ้าอยู่กับชัยชนะตลอดไป อะไรจะเกิดขึ้น เพียงแง่เสียข้อเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะทำลายชีวิตดีๆของคนๆหนึ่งให้พังพินาศโดยไม่รู้ตัว
ใจคนไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ชนะทุกครั้ง การชนะมากเกินไปคือการแบกภาระเกินพอดี การแบกภาระเกินพอดีย่อมรบกวนสมดุลทางใจ สมดุลทางใจที่ถูกรบกวนย่อมเอียงข้าง และที่สุดเมื่อใจเอียงข้างมากๆย่อมเกิดความผิดปกติบางอย่าง หรือหลายๆอย่าง
ความผิดปกติทางจิตย่อมมิใช่เรื่องน่าพิสมัย แม้ต้นทางจะมาจากชัยชนะอันน่าภาคภูมินับครั้งไม่ถ้วน
การแพ้เสียบ้างคือการลดน้ำหนักข้างเกิน คือการทำให้ชีวิตจิตใจเกิดสมดุล และมีความเป็นปกติสุขอยู่ได้
หัดถามตัวเอง คุณแพ้แล้วได้อะไรบ้าง? ถ้าเห็นประโยชน์อย่างชัดเจน คุณจะไม่เสียใจ
แพ้เพื่อไม่ต้องเป็นฝ่ายออกอาการเหลิงอย่างน่าหมั่นไส้
แพ้เพื่อไม่ให้หลงตัวว่าต้องชนะเสมอ
แพ้เพื่อให้โตขึ้นจากการเรียนรู้ข้อผิดพลาด
แพ้เพื่อรู้จักล้มแล้วฝึกลุกขึ้นมาสร้างความอดทนให้ตนเอง
แพ้เพื่อรู้จักความโล่งเบาประหลาดล้ำ จากการยินดีสละความสุขให้ผู้ชนะ
เพียงการมองเห็นประโยชน์ข้อใดข้อหนึ่งของความพ่ายแพ้ ความรู้สึกว่า ‘คนชนะได้ไปทุกอย่าง’ ก็พังครืนลงแล้ว เพราะเห็นว่าคนแพ้ก็มีสิทธิ์เก็บเกี่ยวคุณค่าของการมีชีวิต และคุณค่าชนิดนั้นก็ไม่อาจตั้งอยู่บนฝั่งของคนชนะได้เลย
เมื่อใจสงบลง คุณจะมองเห็นว่าแม้ผู้แพ้ด้วยกันก็มีความต่าง บางคนอาจต้องใช้เวลานับปีกว่าจะพลิกกลับมาเสวยสุขเยี่ยงผู้ชนะ ขณะที่บางคนไม่ต้องเสียเวลาสักนิดเดียวก็เสวยสุขเยี่ยงผู้ชนะได้ในทันทีที่แพ้ เพียงเพราะรู้จักยินดีร่วมไปกับผู้ชนะ!
คุณอาจไปถึงความเข้าใจว่า คนที่สามารถแพ้ได้อย่างสบายอารมณ์ คือคนชนะที่ได้ไปทุกสิ่งอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว การเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ตลอดเวลาก็กลายเป็นความเสียสมดุลได้อีก ไม่มีใครในโลกสมควรเอาแต่เสียกับเสียโดยปราศจากการเพิ่มเติมชดเชย ฉะนั้นความคิดอยากชนะบ้างจึงมิใช่เรื่องน่ารังเกียจ
เพียงแต่ตั้งเข็มให้ถูกเท่านั้น ว่าจะเอาชนะอะไรดี!
ลองพิจารณาอย่างนี้ เมื่อคุณอยากชนะ แม้ได้ชนะ ก็จะมีทุกข์เยี่ยงคนหวงชัยชนะ นี่เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่ว่า ยึดถือสิ่งใด ก็ต้องเป็นทุกข์เพราะสิ่งนั้นในทางใดทางหนึ่งเสมอ
ถ้าเปลี่ยนมาเป็นเอาชนะ ‘ความอยากชนะโลก’ เสียได้ เมื่อแพ้ก็ไม่มีอะไรในใจ หรือถึงแม้ชนะ ก็จะเป็นสุขเยี่ยงคนไม่หวงชัยชนะ สอดคล้องกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติของจิตที่ว่า ปล่อยวางสิ่งใด ก็หมดทุกข์เพราะสิ่งนั้นเสมอ
ทำอย่างไรจึงชนะความอยากเอาชนะโลก? คุณไม่อาจทราบคำตอบขณะยืนอยู่บนแป้นผู้ชนะหมายเลขหนึ่ง แต่คำตอบอาจผุดชัด ณ ที่ยืนของคนกินบ๊วยเม็ดโตสุด
ช่วงเวลาพ่ายแพ้อาจกดดันให้คุณคิดต่างไป และมองต่างมุม ขณะมองคนทั้งโลกแห่กันวิ่งบนลู่วิ่งที่คนอื่นสร้าง แห่กันเร่งฝีเท้าเอาเป็นเอาตายเพื่อถึงเส้นชัยให้ได้ก่อนใคร คุณอาจแยกตัวออกมาสร้างลู่วิ่งให้ตนเอง เพื่อแข่งกับตนเองว่าจะเข้าถึงเส้นชัยของคุณเร็วช้าเพียงใด
ให้ดีกว่านั้น ทำได้ง่ายและใช้เวลาน้อยกว่านั้น คือขณะแพ้ ขอเพียงเฉลียวคิดว่ารู้สึกว่าแพ้ กับรู้สึกว่าชนะ ก็แค่ความรู้สึกเหมือนกัน และมีค่าเท่ากันตรงที่ต้องแปรปรวนไป
สังเกต สิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตอันพ่ายแพ้ย่อยยับของคุณ นับเริ่มจากเนื้อตัวที่สั่นเทา ไล่เข้ามาถึงลมหายใจแสนสั้นหรือขาดห้วง ตลอดจนกระทั่งความรู้สึกที่เล็กลงเหมือนลูกหนูถูกแมวต้อนให้จนมุม เห็นให้ชัดว่านาทีนั้นใจคุณว่างจากความอหังการ ว่างจากความหลงยึดหลงภาคภูมิว่า ‘กายนี้ของเรา’ ว่างแม้จากความอยากเชื่อว่า ‘จิตนี้คือเรา’ นาทีนั้นเอง เพียงพลิกจิตให้พิจารณาต่ออีกหน่อย คุณเฉียดนิดเดียวกับเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา เป็นการเฉียดที่ไม่ยากเย็นเหมือนขณะอยู่ใต้เงื้อมเงาแห่งความอหังการแต่อย่างใด
แพ้พร้อมกับเรียนรู้ ถึงจุดหนึ่งคุณจะเข้าใจเองว่า แพ้ก่อนเพื่อชนะในขั้นสุดท้าย ดีกว่าสุดท้ายต้องแพ้เพราะได้ชนะก่อน
ยอดของผู้ชนะ คือผู้เอาชนะสิ่งที่ชนะได้ยาก ซึ่งไม่ใช่มนุษย์ด้วยกัน แต่เป็นกิเลสอันครอบงำใจใครต่อใครได้ทั้งโลก ผู้ชนะที่แท้ ไม่ได้หมายถึงคนที่ชนะทุกครั้ง แต่หมายถึงคนชนะความกลัวแพ้ ชนะความเมาชัย และชนะความหลงผิดได้อย่างเด็ดขาด
คิดจากความว่าง 2 (ดังตฤณ)
เขินอ่ะ |
อะไรก็ไม่รู้ |
เห็นด้วยๆ |
5
ซึ้งจังเลย |
1
ขำฮาตรึม |