สมัยที่คุณตัวคนเดียวหรือคุณเป็นโสดวิธียื่นภาษีก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร ซึ่งจะมีทางเลือกเพียงทางเดียว คือ ยื่นด้วยจำนวนรายได้ที่เรามี และหัก
ลดหย่อนภาษี ตามสัดส่วนต่างๆ ให้ครบถ้วนก็สามารถคำนวณภาษีได้ แต่เมื่อแต่งงานมีคู่สมรสแล้วนั้น สามีภรรยาควรจะช่วยกันวางแผนภาษี เพราะการวางแผนภาษีที่ดีจะช่วยให้เสียภาษีถูกต้องและประหยัด ซึ่งวิธียื่นภาษีสำหรับคู่สมรถ จะมีด้วยกัน 3 วิธี คือ
1.แยกยื่นแบบแสดงรายการ
2.รวมยื่นแบบแสดงรายการ
3.แยกยื่นเฉพาะเงินเดือน
ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปยื่นรวมในนามอีกฝ่าย แล้วจะเลือกยื่นแบบไหนดี เรามีแนวทางในการพิจารณาเพื่อช่วยตัดสินใจในเรื่องนี้มาฝาก
วิธีที่ 1.แยกยื่นแบบแสดงรายการ
คู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสกัน สามารถแยกยื่นแบบการเสียภาษีได้ ต่างคนต่างยื่นแบบ จากรายได้ส่วนตัวของตนเองได้ ถ้ารายได้ของคู่สมรสอยู่ในฐานภาษีเดียวกัน ไม่ต้องนำรายได้มารวมกัน เช่น สามีมีรายได้สิทธิ 300,000 บาท ภรรยามีรายได้ 280,000 บาท ทั้งคู่จะอยู่ในฐานภาษี 5% แต่ถ้านำรายได้มารวมกัน จะทำให้ฐานภาษีเพิ่มขึ้น จะเสียภาษีมากกว่าการแยกยื่น การแยกยื่นการเสียภาษีสามารถใช้สิทธิหักค่าลดหย่อน และค่าใช้จ่ายแยกกันตามกฎหมายได้เลย วิธีนี้เหมาะกับกรณีที่ทั้ง 2 ฝ่ายมีรายได้พอๆ กัน เสียภาษีในอัตราฐานภาษีที่ใกล้เคียงกัน และมีค่าลดหย่อนต่างๆ ใกล้เคียงกัน เมื่อแยกยื่นจะเป็นการกระจายภาษี ทำให้ต่างฝ่ายต่างเสียภาษีในอัตราที่เหมาะสม นอกจากนี้การแยกยื่นจะทำให้เกิดความสะดวกกับทั้ง 2 ฝ่าย หากไม่ต้องการให้อีกฝ่ายมายุ่งเกี่ยวในการบริหารเงินส่วนตัวของตนเอง
วิธีที่ 2.รวมยื่นแบบแสดงรายการ
คู่สามีภรรยาสามารถรวมเงินที่ได้รับทั้งหมดของทั้ง 2 ฝ่ายรวมเข้าด้วยกัน แล้วสามารถนำไปให้ฝ่ายสามีหรือฝ่ายภรรยาเป็นผู้ยื่นแบบ
วิธีที่ 3.แยกยื่นเฉพาะเงินเดือน
วิธีการแยกยื่นภาษีเฉพาะเงินเดือน สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
1.ภรรยาแยกยื่นแบบภาษีเฉพาะเงินเดือนของตัวเอง ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปรวมกับเงินได้ของสามี แล้วยื่นภาษีรวมกันในนามสามี
2.สามีแยกยื่นแบบภาษีเฉพาะเงินเดือนของตัวเอง ส่วนเงินได้อื่นๆ นำไปรวมกับเงินได้ของภรรยา แล้วยื่นภาษีรวมดันในนามภรรยา
เงินได้อื่นๆ เช่น ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่าบ้าน เงินรับจ้าง เป็นต้น วิธีนี้เหมาะกับคู่สมรสที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเงินเดือนมาก และมีรายได้จากทางอื่นด้วย แต่หักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนในส่วนของเงินเดือนเต็มสิทธิทางกฎหมายแล้ว ทำให้รายได้อื่นที่เพิ่มมา นอกจากจะหักค่าใช้จ่ายเพิ่มไม่ได้ ยังเป็นรายได้ส่วนเพิ่มที่ทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น และต้องเสียภาษีมากขึ้น ก็สามารถยื่นแบบเฉพาะเงินเดือน และนำเงินได้อื่นๆ ไปรวมกับอีกฝ่ายที่มีรายได้น้อยกว่า และยังใช้สิทธิค่าลดหย่อน และค่าใช้จ่ายยังไม่เต็มสิทธิ ก็จะช่วยประหยัดภาษีได้มากกว่า
เบี้ยประกันชีวิต ลดหย่อนภาษี
การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน
นอกจากนี้เรามีวิธีที่ลงทุนแล้วคุ้มค่าอีกวิธีหนึ่งนั่นก็คือ การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกัน สามารถทำได้หลายวิธีดังนี้
1.เบี้ยประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์
ผู้ที่ทำประกันชีวิตทั่วไป รวมถึงประกันแบบสะสมทรัพย์ สามารถลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยประกันต้องคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
2.เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้ตนเอง เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง รวมถึงเบี้ยประกันคุ้มครองสุขภาพของตนเองสามารถนำมาใช้สิทธิ
ประกันสุขภาพ ลดหย่อนภาษี ได้ตามที่จ่ายจริง สามารถขอลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตทั่วไปต้องไม่เกิน 100,000 บาท
3.เบี้ยประกันสุขภาพบิดามารดา
ผู้ที่ทำประกันสุขภาพให้บิดามารดา ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมกันไม่เกิน 15,000 บาท และสามารถรวมประกันสุขภาพพ่อแม่ของคู่สมรสมาลดหย่อนภาษีได้ ในกรณีที่คู่สมรสไม่มีรายได้
เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ
ผู้ที่ทำ
ประกันบำนาญ ลดหย่อนภาษี ได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้รวมทั้งปี และต้องไม่เกิน 200,000 บาท หรือต้องไม่เกิน 300,000 บาท หากไม่มีการลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันชีวิต และเมื่อรวมกับหมวดการลงุทนเพื่อการเกษียณแล้วต้องไม่เกิน 500,000 บาท
คู่สามี-ภรรยาที่กำลังตัดสินใจว่า ควรยื่นภาษีแบบไหนที่ช่วยให้คุ้มค่าและประหยัดภาษีได้มากกว่า คงพอมีแนวทางในการพิจารณาแล้ว โดยให้ดูที่ประเภทของรายได้ และรายได้ทั้งปีของทั้งคู่เป็นหลัก ทั้งนี้การลดหย่อนภาษีด้วยเบี้ยประกันก็ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ ทางไทยประกันชีวิตของเราก็มี