ดู: 268|ตอบกลับ: 2

A:ยาลดไขมัน... เรื่องที่ต้องพิถีพิถัน

[คัดลอกลิงก์]
Dew
เช็คอินสะสม: 4710 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 51 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 48%

สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์

คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก

x
ยาลด.jpg

ภรรยาของคนไข้เล่าให้ผมฟังว่า สังเกตเห็นสามีซึ่งป่วยเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ทานยาหลายชนิด แล้วปัสสาวะเป็นสีเข้ม จึงมาถามว่าเกิดจากยาลดไขมันกลุ่มสเตติน (Statin) หรือไม่ แล้วจะเป็นอันตรายอย่างไร...


ความรู้เกี่ยวกับเรื่องยาที่ใช้ในการรักษาโรคหัวใจ

ความเสี่ยงหลักหรือสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ คือ ภาวะไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งไขมันคอเลสเตอรอล เพราะเมื่อไขมันชนิดนี้มีปริมาณมากเกินไปก็จะไปเกาะอยู่ตามผนังเส้นเลือดของเรา ทำให้เส้นเลือดมีขนาดเล็กและแคบลง เลือดไม่สามารถไหลเวียนได้สะดวก และก่อให้เกิดอาการของโรคหัวใจตามมา ซึ่งหนึ่งในแนวทางการรักษาโรคเส้นเลือดหัวใจตีบก็คือการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลให้อยู่ในระดับปกติ หรือต่ำเท่าที่จะต่ำได้ ซึ่งนอกจากจะต้องระวังเรื่องการรับประทานอาหารแล้ว การใช้ยาลดไขมันกลุ่มสเตตินก็เป็นวิธีการหนึ่งที่จะควบคุมรักษาระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดได้

ยาลดไขมันกลุ่มสเตติน นอกจากจะให้ผลในการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลแล้ว ในปัจจุบันยังมีข้อมูลจากการวิจัยและหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่า ยาลดไขมันกลุ่มสเตตินยังมีผลในการช่วยซ่อมแซมหลอดเลือดให้มีความแข็งแรงและยืดหยุ่นตัวได้ดี ซึ่งจะช่วยลดอาการกำเริบของโรคหัวใจได้

ยาชนิดนี้ยังคงต้องใช้ด้วยความระวัง เพราะอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น

1. ตับอักเสบ พบว่ายาลดไขมันกลุ่มสเตตินนี้อาจทำให้ผลเลือดเอนไซม์ของตับเพิ่มสูงขึ้นเล็กน้อยจนถึงสูงมากจนทำให้เกิดภาวะตับอักเสบได้ ดังนั้นเมื่อรับประทานยากลุ่มนี้ไปช่วงเวลาหนึ่ง ก็ควรได้รับการตรวจเลือดเพื่อดูผลกระทบที่อาจจะมีต่อตับได้

2. อาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ/กล้ามเนื้อสลายตัว เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้บ้าง โดยผู้ที่รับประทานยากลุ่มนี้อาจมีอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเล็กน้อยได้บ้างในช่วงแรกของการรับประทานยา โดยกล้ามเนื้อน่องจะเป็นตำแหน่งที่พบอาการปวดได้บ่อยที่สุด แต่หากผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อนี้มีความรุนแรงมาก ก็อาจจะทำให้กล้ามเนื้อตายและเกิดการสลายตัวได้(Rhabdomyolysis) ซึ่งถือว่าเป็นภาวะที่มีอันตรายมาก เพราะผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลียมาก กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดเมื่อยมาก ปัสสาวะสีเข้มคล้ายน้ำปลา (ซึ่งทำให้ภรรยาของผู้ป่วยผมเกิดความวิตก) และอาจถึงขั้นไตวายเฉียบพลันได้

  สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง ก็คือ
ยานี้ควรรับประทานในช่วงเวลาเย็นหรือกลางคืน โดยอาจจะรับประทานยานี้หลังอาหารเย็นหรือก่อนนอนไปเลยก็ได้ เหตุผลที่ต้องรับประทานยาในช่วงเวลาดังกล่าวก็เป็นเพราะว่า กระบวนการการสังเคราะห์ไขมันคอเลสเตอรอลในร่างกายของเราจะเกิดขึ้นมากที่สุดในช่วงเวลากลางคืน ถ้าเรารับประทานยาในช่วงเวลาดังกล่าวย่อมสามารถยับยั้งการสังเคราะห์ไขมันได้ดีที่สุด ซึ่งจะส่งผลต่อการลดระดับไขมันคอเลสเตอรอลได้มากที่สุดเช่นกัน


การใช้ยาสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจมีความจำเป็นที่จะต้องรู้ถึงวิธีใช้ที่ถูกต้อง รู้ถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น รู้ถึงผลดีผลเสียของตัวยา และที่สำคัญที่สุด จะต้องใส่ใจและพิถีพิถันในการรับประทานยาเพื่อให้ได้ผลดีในการรักษาโรคมากที่สุดโดยที่มีผลเสียหรือภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาเกิดขึ้นน้อยที่สุด

-ขอบคุณ ที่นี่ , HealthToday

เช็คอินสะสม: 470 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 1 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 51%

โพสต์ 2013-7-18 09:28:33 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณครับ
เช็คอินสะสม: 1685 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 1 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 22%

โพสต์ 2013-7-18 13:22:47 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ดีมากครับ

ตอบกระทู้

สำหรับคนที่ขี้เกียจพิมพ์
คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนที่จะตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

รายละเอียดเครดิต

TOP