สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์
คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก
x
การสวดมนต์เป็นสิ่งที่ดีสำหรับทุกคนแต่ควรรู้หลักที่ถูกต้องด้วย บทสวดมนต์ ก็ไม่ต่างกับเพลง เป็นการแต่งคำสรรเสริญ หรือนำหลักธรรมมาย่อ ปรับรูปประโยค ใส่ทำนองให้ท่องจำได้ง่าย การสวดมนต์ที่ดีต้องเข้าใจความหมายด้วย คริสต์ อิสลาม เขาสวดแล้วเข้าใจ โดยเน้นสวดบูชาสิ่งสูงสุดคือ.. พระเจ้า สวดถวายด้วยจิตที่.. “ให้” แต่คนพุทธจำนวนมากกลับแปลไม่ออกและสวดเพื่อ..“เอา” คือสวดเพื่อหวังบุญขอพร ขอโชคลาภ และแทนที่จะสวดบูชาพระศาสดา กลับไปสวดบูชาเทพ ผี นางกวัก หวังจะให้ช่วยเรื่องต่างๆ แต่กลับไม่รู้ว่าการระลึกถึงสิ่งใด พลังสิ่งนั้นจะมาปรากฎอยู่ในใจเรา ไหว้ผี พลังผีก็เข้ามาในตัว ไหว้พระพุทธเจ้า พลังพุทธะก็ปรากฎขึ้นในใจ เมื่อทำเป็นประจำ พลังจะเข้มข้นอาจถึงขั้นขอพรจากตัวเองได้เลย จะบูชาทั้งที่เอาสิ่งสูงสุดเลยไม่ดีกว่าหรือ?? สมเด็จโตฯ ท่านมีคาถาสั้นๆ “พุทธังสรณัง คัจฉามิ ฯลฯ” ท่านสวดด้วยจิตแน่วแน่ด้วยขอมอบกายถวายชีวิตแด่พระรัตนตรัย จึงเป็นเกราะป้องกันได้แม้แต่คุณไสย์หรือภูติผีปีศาจ บทพาหุงฯ.. คือการเล่าเรื่องพระพุทธเจ้าชนะปัญหา ทั้งคนใส่ร้าย ช้างตกมัน ฯลฯ ให้ท่องสวดบ่อยๆ เพื่อดูเป็นตัวอย่างว่า พระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ท่านกลับชนะด้วยการไม่โกรธ ไม่ตอบโต้ ให้อภัย ดังนั้นเราก็ต้องเอาอย่างท่าน แต่ทุกวันนี้กลับเผยแพร่ในเชิงอิทธิฤทธิ์ว่า สวดพาหุง สวดมงคลสูตร สวดฯลฯ 108 จบแล้วจะชนะทุกอย่าง จะร่ำรวย เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ (ช่างงมงาย ห่างไกลหลักศาสนาจริงๆ) วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า.. การฟังธรรม/สวดมนต์/ทำสมาธิ ดีต่อสุขภาพ คลื่นเสียงจากการสวดไปกระตุ้นต่อมในร่างกายทำงานดีขึ้น กระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนตัวดี เช่น ซีโรโทนิน อ๊อกซิโตซิน เอ็นโดรฟิน ส่งให้อ่อนเยาว์ แก่ช้า ภูมิคุ้มกัน การเผาผลาญดีขึ้น ผู้ป่วยใช้ยาน้อยลง การรอดตายสูงขึ้น ช่วยลดการหลั่ง"คอติซอล" ที่หากมีปริมาณมากเกิน จะยับยั้งการสร้างภูมิคุ้มกัน ก่อโรคอ้วน กระดูกผุ ติดเชื้อง่าย อ่อนแอ สมองมนุษย์แบ่งง่ายๆ เป็นสามส่วน คือ... 1.ส่วนจิตสำนึก รู้ผิดชอบชั่วดี 2.ส่วนความจำและอารมณ์ 3.ส่วนเล็กสุด-สมองแบบสัตว์เดรัจฉาน (การเอาตัวรอด กิน สืบพันธ์) ความเครียด โกรธ เกลียด เห็นแก่ตัว ทำให้สมองส่วนสัตว์โตขึ้น ทำงานดีขึ้น จึงมีจิตสำนึกต่ำลงตามลำดับ การผิดศีลแต่ละข้อ ก็ส่งให้เกิดเครียดสะสม และมีผลต่อสมองด้วย เช่น.. การฆ่าสัตว์ ลักขโมย เป็นชู้ พูดคำหยาบ การกินเหล้า จะกระตุ้นการพัฒนาสมองส่วนสัตว์เดรัจฉานให้เติบโต และกดสมองส่วนจิตสำนึกไว้ เมื่อผิดศีลบ่อย ต่อมาจะคิดอะไรเหมือนสัตว์ ห่วงแค่การกิน ถ่าย ผสมพันธ์ และเอาตัวรอด นานวันเข้าจะไม่เข้าใจเรื่องบุญคุณ ศีลธรรม มารยาท ฯลฯ เห็นชัดสุดในเวลากินเหล้า สมองจิตสำนึกจะถูกกดและปลดปล่อยสมองแบบสัตว์ออกมา เวลาเมาจึงอาจทำตัวไม่ต่างกับสัตว์ ไม่สามารถเข้าใจเหตุผลได้ เวลาหิวจัด ทะเลาะกัน เศร้าใจ ร้องไห้ เครียด เป็นภาวะที่สมองสัตว์เดรัจฉานทำงาน การสั่งสอนหรือลงโทษในเวลาไม่พร้อม จะทำให้ไม่สามารถจดจำคำสอนหรือเข้าใจเหตุผลจนเลิกทำผิด แต่ไม่ทำผิดเพราะกลัวโดนทำโทษเท่านั้น พอเผลอหรือมีโอกาสก็จะทำอีก (พระพุทธองค์จะสอนใคร ยังทรงรอให้เขากินอิ่ม นั่งพักให้หายเหนื่อย หรือให้สภาพจิตเขาพร้อมจะรับฟังก่อนเท่านั้น) เรื่องของสมองทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้นว่าการกระทำแต่ละอย่าง แม้การรักษาศีล ก็เพื่อคงจิตสำนึกไว้ ไม่ให้จิตไหลลงต่ำเท่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่ใช่แค่เพื่อให้อยู่กันอย่างปกติหรือเป็นหน้าที่ที่ควรกระทำ จิตที่สะสมนิสัยแบบสัตว์เดรัจฉาน ตายไปก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่คือกฎทางวิทยาศาสตร์ที่นำมาอธิบายหลักทางศาสนาได้ว่า.. ทำไม...มนุษย์ต้องมีศีลห้า??!! สมองส่วนสัตว์เดรัจฉานจะพัฒนาโตขึ้นและควบคุมคนนั้นได้ ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากมายเช่น การเล่นเกมคอมพิวเตอร์ ให้สังเกตุว่าการฆ่าในเกมก็ส่งให้เครียด และเท่ากับสะสมความสะใจที่ได้ฆ่าหรือทำร้ายสิ่งอื่น การขโมยผักในเฟซบุ๊ค ก็ผิดศีลข้อสองชัดเจน เพราะมีเจ้าของ เจ้าของมีการหวง รู้สึกเสียดาย เสียใจเมื่อต้องสูญเสียของไป เป็นการเพิ่มความเห็นแก่ตัวให้กับผู้เล่นที่ชอบและดีใจที่ได้ขโมย สิ่งเหล่านี้ส่งต่อไปยังสมอง สะสมนิสัยขี้โขมยไว้ สมองส่วนสัตว์ก็เจริญเติบโตได้ดี พอในชีวิตจริงจะเริ่มเห็นการขโมยหรือการเอาเปรียบคนอื่นเป็นเรื่องปกติ เพราะสมองส่วนจิตสำนึกไม่ได้ถูกพัฒนาหรือถูกกดไว้จากการกระทำเป็นประจำของตนเอง การสวดมนต์ การฟังธรรมหรือเพลงบรรเลง การไปทำบุญ(ด้วยจิตบริสุทธิ์) จะช่วยปรับคลื่นสมองให้สงบลง ลดความเครียดสะสม ป้องกันสมองส่วนสัตว์เดรัจฉานเติบโต ทำให้ความจำดีขึ้น มองโลกแง่ดีขึ้น รู้ผิดชอบชั่วดีมากขึ้น มองเห็นความจริงได้ชัดขึ้น ในคนทั่วไปมักจะมีคลื่นสมองในระดับเบต้า แต่การทดลองพบคนประสบความสำเร็จมีคลื่นสมองทั้งสี่แบบสลับกัน (เบต้า อัลฟ่า เธต้า เดลต้า) จิตที่วุ่นวาย คลื่นสมองที่วิ่งเร็ว ทำให้จดจำได้น้อยลง คิดวิเคราะห์อะไรไม่ลึกซึ้ง จะมองโลกในแง่ร้าย หงุดหงิดโมโหง่าย ก้าวร้าว (เนื้อสัตว์ หวาน-ไขมัน ก็ทำให้คลื่นสมองวิ่งเร็ว) มีงานวิจัยทั่วโลกยอมรับว่า คลื่นสมองที่สงบลง ทำให้เรียนเก่ง อารมณ์ดีและไอคิวสูงขึ้น ถ้ามองแง่นี้ จะเห็นว่าแค่การสวดมนต์ ก็ป้องกันจิตไหลลงต่ำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง สมองส่วนมนุษย์สมบูรณ์ สามารถคิดงานได้ลึกซึ้งขึ้น เมื่อฉลาดและอารมณ์ดี ก็ส่งผลต่อชีวิตที่ก้าวหน้าทางหน้าที่การงานหรือมีความสุขกับชีวิตประจำวัน ได้มากขึ้น เป็นการยืนยันด้วยหลักวิทยาศาสตร์ว่า.. การสวดมนต์ทำให้ชีวิตดีขึ้นได้จริง ยังมีการทดลองเรื่องโมเลกุลน้ำและออร่า พบว่าเสียงสวดมนต์ช่วยให้โมเลกุลมีรูปร่างสมบูรณ์และเรียงตัวเป็นระเบียบ.แสงพลังงานออร่ามีสีที่บ่งบอกถึงพลังงานในเชิงบวก สำหรับบทสวดที่นำมาทดลองของชาวพุทธ พบว่า.. บทพุทธคุณ ( อิติปิโสฯ ) เป็นบทที่ให้พลังงานดีที่สุด คุณดังตฤณเคยกล่าวไว้ว่า “ชาวพุทธเรามีของดีอยู่กับตัวแล้ว ไม่จำเป็นต้องพกเครื่องลางของขลังอะไรอีก แค่สวดพุทธคุณเป็นประจำก็พอ”ซึ่งครูบาอาจารย์อีกหลายท่านก็ยืนยันว่าสวดบทพุทธคุณดีที่สุด หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ได้เทศน์สอนให้ศิษย์ฟังว่า.. หลวงพ่อเอาแต่ปฏิบัติภาวนา สวดมนต์ไหว้พระ อยากได้อะไรก็มีคนเอามาให้ แม้แต่เหล็กไหล ได้มาเขาให้ปาลงน้ำ ไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ในพานดอกไม้ อยู่ลึกเข้าไปในดอกบัวที่กลีบปิดสนิท กระแสความดีเป็นพลังดึงดูดและนำสิ่งดีๆ.มาให้ได้จริงๆ.ไม่ต้องไปอ้อนวอนขอพรจากใคร.ทำดีแล้วสิ่งดีๆจะมาเอง การสวดมนต์ หากมองในแง่มุมวิทยาศาสตร์ก็ส่งผลดีหลายด้าน เป็นการทำบุญที่ง่ายที่สุดโดยไม่ต้องใช้เงิน ผมเองเคยมีปัญหากับที่บ้าน หลังจากแยกมาอยู่คนเดียว พอเริ่มจริงจังกับธรรมะก็สวดทำวัตรเช้า-เย็นทุกวัน สวดติดต่อกันไม่กี่เดือน อยู่ดีๆ ก็สำนึกบุญคุณพ่อแม่ รู้สึกรักพ่อแม่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนแปลกใจว่าทำไมถึงเปลี่ยนความคิดได้ขนาดนี้ ก็พึ่งมาหายสงสัยเมื่อเข้าใจเรื่องคลื่นสมอง ดังนั้นถ้าอยากให้ลูกหรือนักเรียนเป็นคนดี ควรเริ่มด้วยสวดมนต์ทั้งเช้าและก่อนนอนให้ได้ทุกวัน ป้องกันสมองส่วนเดรัจฉานไม่ให้โต และส่งเสริมสมองมนุษย์ส่วนจิตสำนึกให้แข็งแรง แก้ปัญหาที่ต้นเหตุจะง่ายกว่าการมานั่งด่านั่งบ่น หรือลงโทษด้วยความรุนแรงนะครับ หมายเหตุ : ควรสวดมนต์แบบถูกต้อง-เต็มใจ เกิดปีติผ่อนคลาย ไม่ใช่สวดจนเครียดเคร่งด้วยโดนบังคับหรือแปลไม่ออก (ที่แปลเป็นภาษาไทยโบราณเด็กก็อาจไม่เข้าใจนะ) สำหรับเด็กให้สวดไทยล้วนอาจดีกว่า จะก่อให้เกิดปัญญา(เข้าใจ)กว่าสวดแบบงมงายไม่รู้ความหมายแล้วคิดว่าเป็นคาถาศักดิ์สิทธิ์ ผลดีจากการสวดมนต์-ฟังธรรม มีได้กับคนทุกวัย เมื่อคลื่นสมองสงบช่วยให้แก้ปัญหาได้ คิดได้ลึกซึ้ง ธุรกิจ-การเรียนก็จะดีขึ้นได้ แต่ต้องเลือกให้เหมาะสมกับระดับและจริตด้วย!! (ฟังเพิ่มจากซีดีชุด 6 การสวดมนต์) ขอขอบคุณ โจโฉ |