เช็คอินสะสม: 1685 วัน เช็คอินต่อเนื่อง: 1 วัน
ความคืบหน้าการอัพเกรด: 22%
|
สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์
คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก
x
โรคผื่นแพ้สัมผัส (allergic contact dermatitis)
โรคผื่นแพ้สัมผัสเป็นโรคผิวหนังที่พบบ่อยมากโรคหนึ่ง พอในเพศชายและเพศหญิง และทุกอายุ ถึงแม้ว่าในผู้สูงอายุมากๆ จะมีโอกาสเกิดโรคน้อยกว่าวัยหนุ่มสาว
โรคผื่นแพ้สัมผัสคืออะไร
เป็นโรคที่เกิดจากการแพ้สารหรือวัตถุที่สัมผัสกับร่างกายภายนอกทำให้เกิดผิวหนังอักเสบ คันบริเวณที่ถูกสารนั้นๆ
สารที่ทำให้แพ้เป็นอย่างไร
สารต่างๆ ทั้งในรูปของแข็งของเหลวสามารถทำให้เกิดการแพ้ได้ทั้งสิ้น สารบางอย่างอาจ แพ้ง่ายกว่าสารบางอย่าง เช่น สารที่ทำด้วยโลหะชนิดนิกเคิล (nickle) มีโอกาสแพ้ได้สูง แต่สารที่ทำจาก พลาสติกมักไม่ค่อยเกิดอาการแพ้ สารที่ทำให้แพ้อาจมีขนาดเล็ก เช่น ผงปูนซีเมนต์ เกสรดอกไม้หรืออาจเป็นของขนาดใหญ่เช่นรองเท้า ถุงมือ เป็นต้น
สารที่ทำให้แพ้นั้นต้องใช้มานานเท่าใดจึงแพ้
สารบางอย่างใช้มานานแล้วเพิ่งแพ้ก็ได้ หรือสารบางอย่างใช้มาไม่นานก็เกิดการแพ้ก็ได้ ปกติสารที่ทำให้เกิดการแพ้ครั้งแรกนั้นต้องสัมผัสผิวหนังมานาน 10 – 14 วันขึ้นไปจึงจะเกิดผื่นแพ้ แต่ถ้าเคย แพ้สารนั้นแล้ว เมื่อถูกสารนั้นใหม่ก็จะเกิดผื่นแพ้ได้เร็วภายใน 1 – 3 วัน เมื่อแพ้สารใดแล้วก็จะแพ้ไปตลอด
สารอะไรบ้างที่แพ้บ่อย
สารแพ้บ่อย เช่น โลหะนิเคิล (nickel),น้ำหอม (fragrance mix, balsum of Peru), สารกันบูดที่ใส่ในครีมหรือเครื่องสำอาง ยาง(thimerosal), สารโครเมต (chromate) ที่อยู่ในผนังปูนซีเมนต์, เครื่องหนัง และยาปฎิชีวนะชนิดนีโอมัยซิน (neomycin) ซึ่งผสมอยู่ในยาทาฆ่าเชื้อหรือยาหลอดตาบางชิด เป็นต้น
อาการแสดงของผื่นแพ้สัมผัสเป้นอย่างไร
ผื่นในระยะแรกมีลักษณะเป็นผื่นแดง บวม คัน อาจพองเป็นตุ่มน้ำใสเมื่อตุ่มแตก มีน้ำเหลืองไหลออกมา เมื่อน้ำเหลืองแห้งก็จะเป็นสะเก็ดน้ำเหลืองติดอยู่กับผื่น ผื่นจะเกิดบริเวณที่ถูกสัมผัส กับสิ่งแพ้ เช่น แพ้สายนาฬิกาก้จะเกิดแถวข้อมือ แพ้รองเท้าก็เกิดบริเวณรองเท้า เป็นต้น เมื่อเป็นโรคนี้ เป็นเวลานาน ผื่นมักแห้ง หนาขึ้น สีคล้ำเนื่องจากการเกา บริเวณแถวฝ่ามีเท้า อาจพบตุ่มน้ำใสอยู่ลึก เมื่อเจาะออกจะมีน้ำใสๆ ออกมามีอาการคัน ผื่นแพ้สัมผัสนี้ตอนแรกเกิดบริเวณที่ถูกสารสัมผัสกับร่างกาย แต่เมื่อเป็นรุนแรงขึ้นผื่นมักกระจายไปบริเวณอื่นที่ไม่ได้สัมผัสกับสารที่แพ้ ผื่นอาจกระจายเป็นตุ่มแดงคันทั่วๆ ตัวได้นอกจากอาการคันผู้ป่วยมักไม่แสดงอาการผิดปกติอื่นไม่มีไข้
เป็นที่นิ้วมือ
ผื่นหายเองได้หรือไม่
ถ้าไม่ถูกสารที่แพ้แล้วผื่นก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเอง อาจเหลือรอยดำบริเวณที่เป็นอยู่อีกระยะหนึ่ง แล้วจางหายไปแต่ถ้าถูกสารที่แพ้ใหม่ผื่นก็จะกลับเป็นขึ้นมาใหม่ได้
ถ้าผื่นขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยไม่ทราบว่าแพ้อะไร แพทย์จะช่วยเหลือได้อย่างไร
การทดสอบผิวหนังชนิดแพทเทสท์
ในกรณีที่ผู้ป่วยมีผื่นขึ้นอยู่เรื่อยๆ โดยไม่ทราบว่าตนเองแพ้อะไรนั้น แพทย์ผิวหนังอาจทำการทดสอบผิวหนังที่เรียกว่าแพทเทสท์ (patch test) ซึ่งจะกระทำได้ต่อเมื่อรักษาผื่นแพ้ยุบหายเร็ว วิธีการทำคือแพทย์จะใส่น้ำยามาตรฐานที่รู้ว่าคืออะไร หยดลงในหลุมอลูมิเนียมกลมๆ เล็กๆ ซึ่งติดอยู่กับพลาสเตอร์เหนียวน้ำยามาตรฐานมีประมาณ 30 – 40 ชนิด แล้วติดพลาสเตอร์เหนียวนี้กับหลังผู้ป่วย ทิ้งไว้ประมาณ 2 วัน ดดยที่ผู้ป่วยต้องระวังอย่าให้พลาสเตอร์นี้หลุดออก เมื่อถึงวันอ่านผลแพทย์จะดึงพลาสเตอร์ ออกแล้วอ่านผลว่าผู้ป่วยแพ้สารอะไร สารนั้นมีอยู่ใน อะไรบ้าง ผุ้ป่วยต้องเลี่ยงไม่ให้ไปถูกสัมผัสกับสิ่งของอะไรบ้าง
ผื่นแพ้สัมผัสรักษาได้อย่างไร
เมื่อมีผื่นผิวหนังอักเสบ แพทย์จะให้ยาทาเฉพาะที่ประเภทสเตียรอยด์ (Topical cortico – steroid) ซึ่งอาจอยู่ในรูปของครีมเหลว น้ำใส หรือขี้ผึ่ง ขึ้นอยู่ผื่นเป็นแบบใด และขึ้นบริเวณใดของร่างกาย ในกรณีที่มีน้ำเหลืองไหลอาจมีน้ำยามาให้ล้างแผลก่อนทายา และอาจมียารับประทานแก้แพ้ และแก้ คันร่วมด้วย แต่ที่สำคัญคือผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ และแก้ คันร่วมด้วย แต่ที่สำคัญคือผู้ป่วยต้องหลีกเลี่ยงสารที่แพ้ มิฉะนั้นผื่นอาจไม่ดีขึ้นหรือหลับเป็นกลับใหม่ได้
ยาทาสเตียรอยด์มรผลเสียหรือไม่
ยาทาสเตียรอยด์ เป็นยาที่ดีรักษาโรคนี้ได้ผลดี แต่ก็มีผลเสีย ผู้ป่วยไม่ควรทายานานๆ เมื่อ ผื่นดีขึ้นก็ควรหยุดยาตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดอย่าซื้อยาทาเอง ไม่ควรทายานานเพราะจะเกิดผลเสียต่อผิวหนัง เช่น ทำให้ผิวบางลง สีผิวหนังจางลงมีสิวขึ้นบริเวณทายา ผื่นอาจติดเชื่อและมีหนองได้ง่าย และอาจมีเส้นเลือดบริเวรนั้นขยายตัวใหญ่ขึ้น
โรคนี้หายขาดหรือไม่
ถ้าไม่ถูกสารที่แพ้อีกก็ไม่มีผื่นขึ้นใหม่ แต่ถ้าไปถูกสารที่แพ้อีกผื่นก็จะเห่อกำเริบขึ้น ถ้าถูกบ่อยผื่นอาจลามไปทั่วตัวได้
ข้อมูลจาก : รศ.นพ.วิวัฒน์ ก่อกิจ สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
|
|