สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์
คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก
x
โรคภูมิแพ้(Allergy) คือความผิดปกติจากภาวะภูมิคุ้มกันไวเกินหรือตอบสนองต่อสิ่งต่างๆในธรรมชาติ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไปอาการแพ้ของแต่ละคนก็จะไม่เท่ากัน แม้จะเป็นสารก่อภูมิแพ้ชนิดเดียวกัน อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ ปัจจุบันพบว่าคนในเมืองเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าชนบทเนื่องจากสารที่ก่อโรคภูมิแพ้ ได้แก่ ไรฝุ่น ขนสัตว์ มลภาวะ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ในสังคมเมือง
สาเหตุของโรคภูมิแพ้
- การถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้ได้ง่าย
- การ ติดเชื้อซ้ำๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้มีการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ให้ผลิตภูมิคุ้มกันชนิดกว้างและมีความเจาะจงน้อย ทำให้เกิดการแพ้ต่อสารที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไปที่ไม่แพ้ได้ง่าย
- พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น การเครียดเป็นเวลานาน การอดหลับอดนอน การเปลี่ยนอุณหภูมิที่เร็วเกินไป การนอนห้องแอร์ หรือการสูบบุหรี่
- สภาพ แวดล้อมที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ เช่น การไม่ได้สัมผัสสิ่งของที่อยู่ตามธรรมชาติ หรือการได้อยู่กับสารก่อภูมิแพ้เป็นเวลานาน เช่น สารจากไรฝุ่น ฝุ่นบ้าน สะเก็ดจากแมลงสาบ สารจากขนแมว ขนสุนัข ละอองเกสรดอกไม้ ต้นไม้ ต้นหญ้า วัชพืช และสปอร์จากเชื้อรา
กลไกการเกิดโรคภูมิแพ้
กลไกหลักของการเกิดอาการแพ้ คือร่างกายได้รับหรือสัมผัสสารก่อภูมิแพ้นั้นมาก่อนและจดจำไว้ เมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้ชนิดนั้นอีกครั้งร่างกายจะกระตุ้นให้สร้างเม็ด เลือดขาวชื่อ Mastocyte และ Basophil โดยแอนติบอดีที่ชื่อว่า IgE ปล่อยสารเคมีชนิดที่ทำให้อวัยวะต่างเกิดอาการภูมิแพ้ออกมา สารเคมีหลักที่ถูกหลั่งออกมาเรียกว่า Histamine มีผลทำให้เกิดการอักเสบ บวม และอาการร่วมอื่นๆ
อาการของโรคภูมิแพ้
อาการของโรคภูมิแพ้ที่เกิดขึ้นกับแต่ละคนจะแตกต่างและรุนแรงไม่เท่ากัน แม้จะเป็นสารก่อภูมิชนิดเดียวกันก็ตาม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของสารก่อภูมิแพ้มีได้รับและการตอบสนองของอวัยวะนั้นๆ เช่น
- บริเวณตาทำให้เกิด โรคภูมิแพ้ที่เยื่อบุตา จะมีอาการคันและเคืองตา ตาแดง น้ำตาไหล หนังตาบวม แสบตา
- บริเวณจมูกทำให้เกิด โรคแพ้อากาศ จะมีอาการจาม คันจมูก คัดจมูก คันเพดานปากหรือคอ น้ำมูกไหล
- บริเวณหลอดลมทำให้เกิด โรคหอบหืด จะมีอาการ ไอ แน่นหน้าอก หอบ หายใจขัดหรือหายใจเร็ว
- บริเวณผิวหนังทำให้เกิด โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ จะมีอาการคัน มีผดผื่นตามตัว ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆ หรือมีน้ำเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่
- บริเวณทางเดินอาหารทำให้เกิด โรคแพ้อาหาร จะมีอาการ อาเจียน คลื่นไส้ ท้องเสีย ปากบวม ปวดท้อง ท้องอืด อาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบหืดหรือแพ้อากาศ หรือผิวหนัง เช่น ผื่นคันหรือลมพิษ
วิธีตรวจสอบสารที่ก่อภูมิแพ้
- วิธีสะกิดผิวหนัง วิธีนี้เป็นวิธีที่ปลอดภัยและทำให้ง่าย โดยการหยดน้ำยาสารก่อภูมิแพ้ ที่คาดว่าผู้ป่วยจะแพ้ ลงบนผิวหนังของผู้ป่วยตามจุดที่กำหนดไว้ แล้วใช้เข็มสะกิดเบาๆ ที่หนังกำพร้า รอดูผล 15 นาที ถ้าผู้ป่วยแพ้สารใดก็จะเกิดปฏิกิริยาเป็นตุ่มนูนแดงที่ผิวหนัง ตรงตำแหน่งของสารที่แพ้ ถ้าผื่นหรือตุ้มแดงมีขนาดใหญ่แปลว่าแพ้สารนั้นมาก
- วิธีฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ใช้ในกรณีที่วิธีแรกเห็นผลไม่ชัดเจน โดยการฉีดสารเข้าไปแทนการสะกิด รอดูผล 15-20 นาที แต่วิธีนี้มีข้อเสียคืออาจเกิดอาการแพ้แบบเฉียบพลันได้
- วิธีแปะสารก่อภูมิแพ้ที่ผิวหนัง การทดสอบวิธีนี้ใช้ในโรคภูมิแพ้บริเวณผิวหนังชนิดผื่นสัมผัส และการแพ้ยาบางประเภท โดยใส่สารก่อภูมิแพ้บนแผ่นอลูมิเนียมที่ติดบนเทปใส แล้วปิดลงบนผิวหนัง ทิ้งไว้ 48 ชั่วโมง เพื่อหาสารที่แพ้
- การเจาะเลือดตรวจ เป็นวิธีเฉพาะเจาะจง เพื่อตรวจหาภูมิต้านทานของสารที่ก่อภูมิแพ้
- วิธีอื่นๆ เช่นการให้รับประทานอาหารที่คาดว่าจะแพ้
วิธีรักษาโรคภูมิแพ้
- การดูแลตนเองอย่างเหมาะสม การหลีกเลี่ยงหรือกำจัดสิ่งที่แพ้ เป็นการรักษาที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการรักษาและป้องกันที่สาเหตุ โดยพยายามดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์และแข็งแรงอยู่เสมอ เช่น รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ ไม่เครียด ดูแลสุขภาพของฟันและช่องปาก พยายามอยู่ห่างจากผู้ที่ไม่สบาย อยู่ในสภาพแวดล้อม และอาการที่ถ่ายเทได้สะดวก
- การใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการ ยาที่ใช้จะเป็น ยาต้านฮิสทามีน หรือสารสเตอรอยด์ เช่น ยาแก้แพ้ ยาแก้อาการคัดจมูก, ยารักษาไข้หวัด, ยาขยายหลอดลม, ยาทาผิวหนังอักเสบ, โลชันปรับผิว ลดการระคายเคือง ยาหยอดตา ยาสูดหรือพ่นคอ ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้หรือสารระคายเคืองต่างๆ การใช้ยาเป็นเพียงการรักษาที่ปลายเหตุ ผู้ป่วยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดและไม่ควรซื้อยามาใช้เอง
- การฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป็นการรักษา โดยฉีดสารก่อภูมิแพ้ ที่ตรวจสอบว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการแพ้เข้าไปในร่างกายทีละน้อย แล้วค่อยๆเพิ่มจำนวน เพื่อให้สร้างภูมิต้านทานต่อสิ่งที่แพ้ วิธีนี้จะใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการหนัก ไม่สามารถควบคุมอาการได้ด้วยยา หรือไม่สามารถทนผลข้างเคียงของยาได้ หรือผู้ที่มีโรคภูมิแพ้หลายชนิดร่วมด้วย วิธีนี้จะใช้เวลาอย่างน้อย 1 ปีครึ่ง ถ้าได้ผลดี อาจต้องฉีดต่อเนื่องไปอีก 3-5 ปี
4. การรักษาโดยการผ่าตัด ใช้ในผู้ป่วยบางรายที่ใช้ยาอย่างเต็มที่แล้วไม่ดีขึ้นหรือมีโรคบางอย่างร่วมด้วย เช่น ผนังกั้นช่องจมูกคดเยื่อบุจมูกบวมมากผิดปกติ ริดสีดวงจมูก หรือไซนัสอักเสบ
ที่มา prapot.com
|