ดู: 268|ตอบกลับ: 1

A: สุขภาพดี..หากหลีกหนีอาหารที่มี”ไขมันทรานส์”

[คัดลอกลิงก์]
Dew
เช็คอินสะสม: 4712 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 53 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 48%

สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์

คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก

x
ไขมัน.jpg
ในยุคที่ผู้บริโภคต่างห่วงใยและใส่ใจสุขภาพกันมากมายขนาดนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก ”ไขมันทรานส์” กันใช่ไหมคะ เพราะไขมันทรานส์จัดเป็น”เพชรฆาต”ตัวฉกาจที่ค่อยๆสะสมจนเกิดผลกระทบต่อร่างกาย นำพาโรคร้ายต่างๆ และคร่าชีวิตคนจำนวนมากในปัจจุบันผู้เขียนเองเคยเขียนบทความเรื่อง ไขมันทรานส์ ให้กับคอลัมน์ มุมสุขภาพทางเดลินิวส์ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ว่าความร้ายกาจของเจ้าไขมันทรานส์นั้นส่งผลต่อร่างกายเราอย่างไร ศุกร์นี้จึงขอมาบอกเล่าและย้ำเตือนให้คุณผู้อ่านที่รักสุขภาพทั้งหลายทราบกันว่า แล้วอาหารประเภทใดบ้างที่เราจำเป็นจะต้องระมัดระวังกันเป็นพิเศษเพื่อหลีกเลี่ยงการรับไขมันทรานส์เข้าสู่ร่างกายในปริมาณที่มากจนก่อให้เกิดผลร้ายต่อร่างกายได้
มาทำความรู้จักไขมันทรานส์กันโดยละเอียดกันอีกครั้งนนะคะ เจ้า”ไขมันทรานส์

หรือ “Trans Fat” นั้นเป็นกรดไขมันที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูงโดยการเติมไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น(Hydrogenation) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลืองทำให้มีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียมเป็นต้น โดยจะมีชื่อบนฉลากอาหารคือ กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ HydrogenatedOil หรือ Partially Hydrogenated Oil เหตุที่มีการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ก็เนื่องจากไขมันทรานส์คือไขมันที่เกิดจากการแปรรูป จึงสามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข และสามารถทนความร้อนได้สูงรวมถึงมีรสชาดที่ใกล้เคียงกับไขมันที่มาจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่าบรรดาผู้ประกอบกิจการอาหารต่าง ๆ มักนิยมนำไขมันทรานส์มาใช้ประกอบอาหารมากมาย เช่นกลุ่มอาหารฟาสต์ฟู้ดซึ่งใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอดไก่ มันฝรั่ง โดนัท หรือการนำมาใช้ในการประกอบกิจการเบเกอรี่ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม และวิปปิ้งครีม เป็นต้นด้วยลักษณะของไขมันทรานส์ที่ไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนได้สูง และราคาถูกนี้เองผู้ประกอบการจึงได้ใช้ไขมันทรานส์กันอย่างแพร่หลาย เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนการผลิตลง
การทานอาหารที่มีไขมันทรานส์มากๆ จะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

ถ้าเราบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์มาก ๆจะเป็นส่งเสริมการทำงานของเอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการเมตาบอลิซึมของคอเลสเตอรอล ทำให้ระดับ LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มขึ้นและลดระดับ HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูปซึ่งย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่นจึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ จะทำให้ร่างกายมีน้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น, มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ,มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ (CoronaryHeart Disease) โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดซึ่งเป็นข้อมูลจากหลายๆงานวิจัยที่ศึกษาถึงเรื่องไขมันทรานส์
ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ต่างออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการและให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกาเช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่าจะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหารภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อยๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์กภายในเดือนกรกฏาคม พ.ศ. 2551 แต่น่าเสียใจสำหรับคนไทยที่ในประเทศไทยเรายังไม่มีมาตรการทางกฎหมายใดๆ มาควบคุมการใช้หรือบังคับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ
ผู้เขียนได้เห็นงานวิจัยของไทยที่ทำการศึกษา ปริมาณไขมันทรานส์ในอาหารอบและทอด

โดยกลุ่มวิจัยอาหารเพื่อโภชนาการ สำนักโภชนาการ กรมอนามัยและเห็นว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญ มีประโยชน์น่านำมาบอกต่อเพื่อให้คุณผู้อ่านได้ระมัดระวังกันเป็นพิเศษกับอาหารที่ตรวจพบไขมันทรานส์ในปริมาณสูงงานวิจัยชิ้นนี้ได้ทำการตรวจสอบโดยสุ่มอาหารที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่มีการใช้ไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบจำนวน 65 ตัวอย่างจากห้างสรรพสินค้าและตลาดทั่วไปในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ขนมอบ 36 ตัวอย่าง อาหารทอดและขนมทอด 24 ตัวอย่างผลิตภัณฑ์อื่นๆ 5 ตัวอย่าง จากร้านเบเกอร์รี , ตลาด และร้านอาหารทั่วไป ตัวอย่างละ 3-5 แห่ง
ผลที่น่าตกใจ คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ขนมอบที่มีไขมันทรานส์มากที่สุดคือโดนัทบาวาเรียน พบ 828 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม

รองลงมาคือ เค้กเนย พบ 400 มิลลิกรัมต่อ 100กรัม เวเฟอร์เคลือบชอกโกแลต , พายทูน่า,โดนัทโรยน้ำตาล, ทอฟฟี่เค้กและคุ้กกี้เนยมีไขมันทรานส์ 396, 395, 378, 374 และ 309มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ตามลำดับซึ่งถือว่ามีไขมันทรานส์ในปริมาณสูง กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทอด พบปลาซิวแก้วมีไขมันทรานส์มากที่สุด397 มิลลิกรัมต่อ100 กรัม รองลงมา คือ หมูทอด เนื้อทอด และไก่ทอดพบไขมันทรานส์ 260, 245 และ 239 มิลลิกรัมต่อ100 กรัม ตามลำดับ กลุ่มขนมทอด พบ มันฝรั่งทอด (เฟรนฟรายด์) มีไขมันทรานส์มากที่สุด329 มิลลิกรัมต่อ100 กรัม ส่วนเนยเหลว (Butter) และมาการีนมีพลังงาน ไขมันรวมและไขมันทรานส์สูงมาก พบไขมันทรานส์ในเนยเหลวถึง 2247 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม และในมาการีน 1248 –2478 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม โดยสรุปผลิตภัณฑ์ขนมอบที่มีส่วนประกอบเป็นเนยเนยเทียม เนยขาว มีไขมันทรานส์มากกว่าขนมอบของไทย และมากกว่าของทอด ยกเว้นเฟรนฟรายด์
ทราบข้อมูลอย่างนี้แล้ว เราในฐานะผู้บริโภคที่ใส่ใจและรักสุขภาพ จึงควรดูแลตัวเองด้วยการระมัดระวังเรื่องการรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารกลุ่มที่มีปริมาณไขมันทรานส์เยอะหรืออาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ รวมทั้งการปรุงอาหารที่ใช้เนยเหลว และมาการีนกันนะคะปรับรูปแบบการทานกันใหม่ง ใส่ใจกับการเลือกรับประทานกันให้มากขึ้นเพื่อสุขภาพของเราเอง และคนที่เรารักกันดีกว่าคะ
ขอขอบคุณ ที่นี่, เดลี่นิวส์
เช็คอินสะสม: 1685 วัน
เช็คอินต่อเนื่อง: 1 วัน

ความคืบหน้าการอัพเกรด: 22%

โพสต์ 2013-8-30 18:55:05 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณมากครับ

ตอบกระทู้

สำหรับคนที่ขี้เกียจพิมพ์
คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อนที่จะตอบกลับ เข้าสู่ระบบ | สมัครสมาชิก

รายละเอียดเครดิต

TOP