สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์
คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก
x
ต้นกำเนิด และที่มาทำไมต้อง7 วัน จากการค้นคว้าหาข้อมูลพบว่า การใช้สัปดาห์มี 7 วัน มีมาตั้งแต่ยุคสุเมเรีย และบาบิโลน โดยมีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์โลกว่าว่าได้มีการกำหนดให้หนึ่งสัปดาห์มี 7 วัน เมื่อประมานปีที่ 2350ก่อนคริสตศักราช (2350 BC) โดยกษัตริย์ซาร์ก้อนที่หนึ่งแห่งนครอัคคาด(Sargon I, King of Akkad) ภายหลังจากที่ได้ยึดครองเมืองอูร์(Ur) และเมืองอื่นๆ ในคว้นซูเมอร์เรีย (Sumeria) ชื่อของกษัตริย์องค์นี้ และเมืองนี้มีการอ้างถึงในหนังสือคัมภีร์สูตรเรือนชะตาของอาจารย์ประยูรผมจะไปค้นคว้าเพิ่มเติม แล้วกลับมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป
นอกจากเมืองอูร์จะเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดให้สัปดาห์หนึ่งมีเจ็ดวันแล้วยังเป็นต้นกำเนิดของการกำหนดให้หนึ่งชั่วโมงมี 60 นาทีด้วย เพราะในยุคนั้นชาวซุเมอร์เรียนใช้ระบบเลขหลัก 60 ในการคำนวน (แทนการใช้ระบบทศนิยมในปัจจุบัน)
ในยุคสมัยนั้น มนุษย์มีความเชื่อว่า โลกเป็นศูนย์กลางของจักรวาลหรือเรียกว่า Geocentric ดวงอาทิตย์ และสิ่งต่างบนท้องฟ้าต่างโคจรรอบโลกและค้นพบว่ามีดาวเคราะห์ที่สามารถสังเกตุได้ด้วยตาเปล่า (naked eyeplanets) อยู่ 5 ดวง ซึ่งประกอบด้วย ดาวพุธดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัส และดาวเสาร์ เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ (FixStars) หรือกลุ่มดาวในจักรราศี และเมื่อรวมกับ ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ ก็จะมีดาวบริวารของโลกทั้งสิ้น 7 ดวง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำไมสัปดาห์จึงมี7 วัน จะเห็นได้จากชื่อที่ใช้เรียกในแต่ละวันยังคงมีความหมายที่เกี่ยวข้องกับดาวหรือตามตำนานของเทพเจ้าประจำดาว ทั้ง 7
การเรียงลำดับของวันในสัปดาห์(Order) และเมื่อค้นลึกลงไปอีกก็เป็นที่น่าประหลาดใจและเหลือเชื่ออย่างยิ่งว่า จริงๆแล้วการเรียงวันในสัปดาห์มีรากฐานมาจากโหราศาสตร์นั้นเอง เมื่อโลกเป็นสูตรกลางของจักรวาล โดยมีดาวทั้ง 7ดวงที่โคจรอยู่รอบโลกนั้น ดาวก็ถูกจัดเรียงลำดับตามระบบ ปโตเลมี (Ptolemaicsystem) คือ เรียงจากดาวไกลสุดจากโลกมากที่สุดมายังดาวใกล้โลกมากที่สุดโดยใช้อัตราการโคจรรอบโลกเป็นตัววัด จึงได้การเรียงลำดับดังนี้ เสาร์ พฤหัส อังคารอาทิตย์ ศุกร์ พุธ และจันทร์ เรื่อยๆ ซึ่งเรียกว่า “Planetary Hour” ซึ่งก็คือ ระบบยามแบบสากล นั้นเอง Planetary Hour หรือยามแบบสากล เป็นวิธีการทำนายกาลชะตา (Horary) แบบหนึ่ง ซึ่งยังคงได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายแล้วผมจะมาเล่าเพิ่มเติม ว่าน่าสนใจเพียงใด มีวิธีการทำนาย และการคำนวนอย่างไร
รูปที่แสดง ดาว 7 แฉก ตามยามแต่ละชั่วโมง (Heptagramof the week) ชั่วโมงแรกของรุ่งอรุณของวันที่1 เริ่มต้นที่ ดาวเสาร์ ให้ชื่อว่า "ชั่วโมงของเสาร์" ถัดไปชั่วโมงที่ 2 เป็น"ชั่วโมงของพฤหัส" ชั่วโมงที่ 3 เป็น"ชั่วโมงของอังคาร" ชั่วโมงต่อไป เป็น "ชั่วโมงของอาทิตย์","ชั่วโมงของศุกร์", "ชั่วโมงของพุธ"และ "ชั่วโมงของจันทร์" ตามลำดับ และเมื่อครบรอบ 7 ชั่วโมง ก็จะวนกลับมาที่ “ชั่วโมงของเสาร์” ใหม่ เป็นวงรอบไปเรื่อยๆไม่รู้จบ ดังนั้นชั่วโมงที่ 25 หรือชั่วโมงที่ 1 ของวันที่ 2 ก็จะเป็น“ชั่วโมงของอาทิตย์” และชั่วโมงที่ 49 หรือชั่วโมงที่ 1 ของวันที่ 3 คือ“ชั่วโมงของจันทร์” และเมื่อเรียงลำดับชั่วโมงไปเรื่อยครบทั้ง 7 วัน เราก็จะพบว่าชื่อของวันนั้น คือดาวที่ประจำของรุ่งอรุณในแต่ละวัน ดังนั้นจริงๆ แล้ววันแรกในสัปดาห์จะเริ่มต้นด้วย“วันเสาร์” และถัดไปคือ วันอาทิตย์จันทร์ อังคาร พฤหัสบดี และ ศุกร์ ตามลำดับ หากท่านใดมีความรู้เรื่องยามอัฐกาล ของโหราศาสตร์ไทยก็จะพบว่าลำดับดาวพระเคราห์ประจำยามในภาคกลางวัน มีการเรียงลำดับตามระบบปโตเลมีซึ่งอาจาร์ยพลูหลวง เคยเขียนบทความถึงความมหัศจรรย์ของดาว 7 แฉกนี้ทั้งเรื่องของยามอัฐกาล และ เลข 7 ตัว
ชื่อวัน ใน 1 สัปดาห์ (The Names ofthe Days) การกำหนดชื่อวันในแต่ละสัปดาห์ในทุกชาติทุกภาษาจะตั้งชื่อให้เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าในตำนานหรือมีความหมายตามดาวดาวทั้ง 7 แทบทั้งสิ้น สมัยแรกๆ จะให้วันเสาร์ (Saturday)เป็นวันแรกของสัปดาห์ ต่อมา ได้นับถือดวงอาทิตย์มากขึ้นจึงให้วันของดวงอาทิตย์ (Sun's day) เลื่อนอันดับจากวันอันดับที่ 2 ของสัปดาห์ เป็นวันแรกของสัปดาห์แทน ทำให้วันเสาร์กลายเป็นวันลำดับที่ 7 ของสัปดาห์ไปในที่สุด วันอาทิตย์ (Sunday)มีชื่อมาจากภาษาละติน ว่า "dies solis" หมายถึง "วันของดวงอาทิตย์"(Sun's day) เป็นชื่อวันหยุดของคนนอกศาสนา และต่อมา ถูกเรียกว่า"Dominica" (ภาษาละติน) หมายถึง"วันของพระเจ้า" (the Day of God) ต่อมาภาษาที่มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน เช่น ฝรั่งเศส, สเปน,อิตาเลี่ยน ก็ยังคงใช้คำที่คล้ายกับรากศัพท์ดังกล่าว เช่น
• ภาษาฝรั่งเศส: dimanche;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: domenica;
• ภาษาสเปน: domingo
• ภาษาเยอรมัน: Sonntag;
• ภาษาดัทช์: zondag ทั้งหมดมีความหมายว่า"Sun-day"
วันจันทร์ (Monday)มีชื่อมาจากคำว่า "monandaeg" หมายถึง"วันของดวงจันทร์" (The Moon's day) เป็นวันที่สองของสัปดาห์ที่ตั้งขึ้นมา เพื่อสักการะ "เทพธิดาแห่งดวงจันทร์" (The goddessof the moon)
• ภาษาฝรั่งเศส: lundi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: lunedi;
• ภาษาสเปน: lunes (มาจากคำว่า Luna หมายถึง "ดวงจันทร์")
• ภาษาเยอรมัน: Montag;
• ภาษาดัทช์: maandag ทั้งหมดมีความหมายว่า"Moon-day"
วันอังคาร (Tuesday)เป็นชื่อเทพเจ้า Tyr ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Tyr) ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้าสงคราม แห่งดาวอังคาร (thewar-god Mars) ว่า "dies Martis" • ภาษาฝรั่งเศส:mardi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: martedi;
• ภาษาสเปน: martes
• ภาษาเยอรมัน: Diensdag;
• ภาษาดัทช์: dinsdag;
• ภาษาสวีเดน: tisdag
วันพุธ (Wednesday)เป็นวันที่ตั้งเป็นเกียรติสำหรับ เทพเจ้า Odin ของชาวสวีเดน และนอรเวโบราณส่วนชาวโรมันเรียกว่า "dies Mercurii" สำหรับใช้เรียกเทพเจ้าMercury (ประจำดาวพุธ)
• ภาษาฝรั่งเศส: mercredi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: mercoledi;
• ภาษาสเปน: miercoles
• ภาษาเยอรมัน: Mittwoch;
• ภาษาดัทช์: woensdag
วันพฤหัสบดี (Thursday)เป็นชื่อเทพเจ้า Thor ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse god Thor) เรียกว่า "Torsdag" ส่วนชาวโรมันเรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Jove หรือ Jupiter ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งเทพทั้งปวง และเรียกวันนี้ว่า "diesJovis" หมายถึง วันของ Jove (Jove's Day)
• ภาษาฝรั่งเศส: jeudi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: giovedi;
• ภาษาสเปน: el jueves
• ภาษาเยอรมัน: Donnerstag;
• ภาษาดัทช์: donderdag ทั้งหมดมีความหมายว่า"วันสายฟ้า" (Thundar day)
วันศุกร์ (Friday)เป็นชื่อเทพธิดา Frigg ของชาวนอรเวโบราณ (The Norse goddessFrigg) ภาษาเยอรมันเคยเรียกว่า "frigedag" ส่วนชาวโรมัน เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพธิดา Venus ว่า"dies veneris"
• ภาษาฝรั่งเศส: vendredi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: venerdi;
• ภาษาสเปน: viernes
• ภาษาเยอรมัน: Freitag;
• ภาษาดัทช์: vrijdag
วันเสาร์ (Saturday) ชาวโรมันใช้เรียกเป็นชื่อสำหรับเทพเจ้า Saturn ว่า "diesSaturni" หมายถึง Saturn's Day.
• ภาษาฝรั่งเศส: samedi;
• ภาษาอิตาเลี่ยน: sabato;
• ภาษาสเปน: el sabado
• ภาษาเยอรมัน: Samstag;
• ภาษาดัทช์: zaterdag;
• ภาษาสวีเดน: Lordag
• ภาษาเดนมาร์คและนอรเว: Lordag หมายถึง"วันชำระล้าง" (Washing day)
ขอขอบคุณ ที่นี่, จิ่มจุ่ม |