สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์
คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก
x
โรคติดต่อ ได้ยินแล้วยิ่งต้องระวังได้คราวอัพเดทโรคติดต่ออันตรายเจอแล้วต้องรีบแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย นับวันโรคภัยต่าง ๆก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้นมากมายจนทำให้เราต่างก็หวาดหวั่นกับความอันตรายและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราได้เพราะโรคบางชนิดก็เป็นโรคติดต่อร้ายแรงที่คร่าชีวิตคนไปไม่น้อย อย่างเช่น 22 โรคนี้ที่กระปุกดอทคอมจะนำมาอัพเดทให้ทราบกัน โดยทั้งหมดนี้เป็นโรคที่ร้ายแรงจนกระทรวงสาธารณสุขต้องประกาศให้เป็นโรคติดต่อที่พบแล้วต้องทำการแจ้งความในทันทีเพื่อความปลอดภัย ไปดูกันเลยดีกว่าค่ะว่า โรคเหล่านี้มีอะไรบ้าง โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523ถือเป็นโรคที่มีความรุนแรงและอันตราย สามารถติดต่อกันได้ง่ายรวมทั้งถ้าหากเกิดการติดต่ออาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้ดังนั้นจึงควรแจ้งความต่อเจ้าพนักงานสาธารณสุขหรือพนักงานเจ้าหน้าที่ ไว้เพื่อเป็นการระวังไว้ก่อน โดยโรคติดต่อที่ต้องแจ้งความนั้น ปัจจุบัน (ณวันที่ 18 มิถุนายน 2558) มีทั้งหมด 22โรค ดังนี้ 1. อหิวาตกโรค 2. กาฬโรค 3. ไข้ทรพิษ 4. ไข้เหลือง 5. ไข้กาฬหลังแอ่น 6. คอตีบ 7. โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด 8. โปลิโอ 9. ไข้หวัดใหญ่ 10. ไข้สมองอักเสบ 11. โรคพิษสุนัขบ้า 12. ไข้รากสาดใหญ่ 13. วัณโรค 14. แอนแทร็กซ์ 15. โรคทริคิโนซิส 16. โรคคุดทะราดเฉพาะในระยะติดต่อ 17. โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก 18. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง 1. อหิวาตกโรค (Cholera) อหิวาตกโรค เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย2 ชนิด คือวิบริโอ คอเลอเร (Vibrio Cholera) และ แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ อหิวาตกโรคชนิดแท้เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย วิบริโอ คอเลอเร ส่วน อหิวาตกโรค ชนิดเทียมเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย เอลเทอร์ วิบริโอ (EL Tor Cholera) ซึ่งจะอาศัยอยู่ในอุจจาระหรืออาเจียนของผู้ป่วยและแพร่กระจายอยู่ในอาหารและน้ำดื่มได้ โดยมีแมลงวันเป็นตัวพาหะ ทั้งนี้ผู้ป่วยอหิวาตกโรคจะมีอาการสังเกตได้แต่ไม่ชัดเจน อาทิ ปวดท้อง ท้องเสียท้องร่วงวันละหลายครั้ง ประมาณ 1-2วัน แต่ในผู้ป่วยบางคนอาจจะมีอาการรุนแรงได้แก่ถ่ายอุจจาระเหลวคล้ายน้ำซาวข้าว มีกลิ่นคาว อาเจียนร่างกายสูญเสียน้ำและเกลือแร่จนเกิดอาการอ่อนเพลีย ชีพจรเต้นเบาลงหากทำการรักษาไม่ทันท่วงทีอาจเสียชีวิตในที่สุด วิธีการป้องกันคือรับประทานอาหารที่สะอาด และปรุงสุก รวมทั้งหมั่นล้างมือบ่อย ๆ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย 2. กาฬโรค (Plague) มีสาเหตุเกิดจากมาจากเชื้อแบคทีเรียเป็นโรคที่มีความร้ายแรงสูง พาหะของกาฬโรคมาจากสัตว์ฟันแทะจำพวกหนู เช่น หนูกระรอก กระแต กระต่าย โดยหากหมัดของสัตว์เหล่านี้มากัดคนก็จะปล่อยเชื้อเข้าทางรอยแผล จนทำให้เกิดโรคได้ ซึ่งเมื่อเชื้อกาฬโรคเข้าสู่ร่างกาย จะทำให้เกิดการอักเสบบวมโดยเฉพาะบริเวณขาหนีบ รักแร้ และอาจมีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโตบวมระยะต่อมาเชื้อจะแพร่กระจายเข้าไปในกระแสเลือด เข้าสู่ปอด ตับ ม้ามบางรายเชื้ออาจจะกระจายเข้าไปยังเยื่อหุ้มสมองทำให้เกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดรุนแรง (Septicaemicplague) จนหัวใจวายและเสียชีวิตในที่สุด 3. ไข้ทรพิษ (Smallpox) ไข้ทรพิษหรือมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ฝีดาษ มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส วาริโอลา (Variola) โดยเชื้อดังกล่าวสามารถแพร่กระจายได้ในอากาศและเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจหรือไปสัมผัสกับแผลที่ผิวหนัง มีระยะฟักตัว 7-17วัน เมื่อเชื้อฟักตัวแล้วผู้ป่วยจะมีไข้สูง ปวดตามเนื้อตัว ปวดศีรษะปวดหลัง อ่อนเพลีย บางรายอาจมีอาการปวดท้องร่วมด้วย จากนั้นในระยะต่อมาจะมีผื่นขึ้นและมีอาการคล้ายจะเป็นไข้หวัดใหญ่ จากนั้นผื่นจะกลายเป็นตุ่มใส ตุ่มหนองและจะตกสะเก็ดไปในที่สุด โดยระยะนี้จะกินเวลา 3-4 สัปดาห์นอกจากนี้เมื่อหายแล้วอาจจะมีแผลเป็นเป็นรอยบุ๋มผู้ป่วยบางคนอาจอาการมีแทรกซ้อนจนทำให้พิการหรือตาบอดไปในที่สุด 4. ไข้เหลือง (Yellow fever) ไข้เหลืองเป็นโรคติดต่อจากเชื้อไวรัส มียุงเป็นพาหะของโรคโดยที่เรียกว่าไข้เหลืองนั้นก็มาจากอาการตัวเหลืองหรือดีซ่าน (Jaundice) ที่มักพบในผู้ป่วยโรคนี้นอกจากนี้ยังมีไข้สูงร่วมกับชีพจร เต้นช้าผิดปกติ ปวดกล้ามเนื้อร่วมกับปวดหลังปวดศีรษะ หนาวสั่น เบื่ออาหาร ต่อมาผู้ป่วยจะมีเลือดออกจากปาก จมูก ตากระเพาะอาหาร อาเจียนและถ่ายเป็นเลือด จนถึงไตวาย หรือมีโปรตีนปัสสาวะ (albuminuria) ปัสสาวะไม่ออก (anuria) มีการพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยที่อยู่ในระยะโลหิตเป็นพิษจะเสียชีวิตภายใน10-14 วันแต่หากรักษาอย่างถูกต้องจนหายก็จะไม่มีความผิดปกติใด ๆและไข้เหลืองไม่มีวิธีรักษาเฉพาะทำได้เพียงฉีดวัคซีนป้องกันและรักษาตามอาการเท่านั้น 5. ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Meningitis) เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียเชื้อminingococci แบบเฉียบพลัน สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ผ่านทางละอองน้ำมูก น้ำลาย จากปาก จมูกของผู้ที่เป็นพาหะ บางรายอาจจะมีอาการแทรกซ้อนร่วมด้วยเช่นอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือถ้ามีอาการรุนแรง ก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ในเวลา 24 ชั่วโมง 6. คอตีบ (Diphtheria) โรคคอตีบเป็นโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบลักษณะเป็นแผ่นเยื่อในลำคอ จนอาจทำให้เกิดการตีบตันของทางเดินหายใจและอาจทำให้ถึงแก่ชีวิต นอกจากนี้จากพิษของเชื้อก็มีอันตรายต่อกล้ามเนื้อหัวใจและเส้นประสาทส่วนปลายอีกด้วยโดยโรคคอตีบนี้ในปัจจุบันสามารถป้องกันได้ด้วยวัคซีนโรคคอตีบ 7. บาดทะยักในทารกแรกเกิด บาดทะยักเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียคลอสตริเดียม เตตานิ (Clostridiumtetani) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ทั่วไปในดินและฝุ่นละอองนอกจากนี้ยังอาจพบได้ในลำไส้ของคนอีกด้วย โดยเชื้อมีความทนทานต่อความร้อนและยาฆ่าเชื้อบางชนิดรวมทั้งสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ผ่านทางบาดแผลซึ่งมักจะเข้าสู่ทารกได้ผ่านการตัดสายสะดือด้วยอุปกรณ์ที่ไม่สะอาดในระหว่างการคลอด อาการของโรคบาดทะยักในทารกจะเกิดขึ้นเมื่อทารกอายุได้4-10 วันโดยจะมีอาการเริ่มแรกคือขากรรไกรแข็งทำให้เด็กดูดนมได้ลำบากต่อมาอาจมีอาการเกร็งตามตัว หลังแอ่นแข็ง หากมีอาการรุนแรงก็อาจมีอาการชักหน้าเขียว หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจเกิดการเสียชีวิตได้ 8. โปลิโอ (Poliomyelitis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของไขสันหลัง จนทำให้เป็นอัมพาตช่วงกล้ามเนื้อแขนและขาในรายที่อาการรุนแรงจะส่งผลให้เกิดความพิการตลอดชีวิต หรืออาจถึงแก่ชีวิตได้ โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิดการติดเชื้อแล้วผู้ป่วยจะมีอาการที่แตกต่างกันไปแต่โดยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการรุนแรงและไม่มีอาการแสดงออกมีเพียงส่วนน้อยท่านั้นที่จะมีอาการแบบเยื่อหุ้มสมองอักเสบและพิการในที่สุดวิธีการป้องกันก็คือควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคโปลิโอตั้งแต่เด็กและเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรคด้วยการรักษาสุขอนามัยที่ดี 9. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ไข้หวัดใหญ่เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส สามารถเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัยและสามารถติดต่อกันง่าย เกิดการระบาดได้ตลอดทั้งปี แต่มักเกิดได้บ่อยในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงเช่น ปลายฝนต้นหนาวปัจจุบันสามารถป้องกันได้เบื้องต้นด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง 10. ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) อาการโรคไข้สมองอักเสบนั้นมีความอันตรายและมีอัตราเสียชีวิตสูงโดยมีสาเหตุเกิดได้จากเชื้อไวรัสหลายชนิด แต่ในประเทศไทยนั้นมักพบว่าเกิดจากเชื้อไวรัสJapanese encephalitis หรือเรียกว่า เจอี (JE) ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในเด็กอายุตั้งแต่5-10 ปี และมักพบได้บ่อยในฤดูฝนสามารถป้องกันได้โดยการรับวัคซีนตั้งแต่ยังเด็ก และเลี่ยงการไม่ให้ถูกยุงกัดค่ะ 11. โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) โรคพิษสุนัขบ้า เป็นโรคติดต่อ จากสัตว์มาสู่คนที่มีความรุนแรงโดยมีสาเหตุมาจากผู้ป่วยได้รับพิษสุนัขบ้าผ่านทางบาดแผลที่สัตว์กัดหรือข่วน ไม่ว่าจะมาจาก สุนัข แมว สุนัขจิ้งจอกสกั้งค์ แรคคูน พังพอน และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆเป็นโรคที่ต้องได้รับการรักษาอย่างใกล้ชิดเพราะหากไม่ได้รับการรักษาแบบประคับประคองก็สามารถเสียชีวิตได้ภายในเวลา 2-6 วัน วิธีป้องกันคือควรหลีกเลี่ยงการเล่นกับสัตว์ที่ไม่คุ้นเคยหรือ ถ้าหากโดนกัดหรือข่วน ควรรีบไปล้างแผลและใส่ยารักษาแผลสดเพื่อกำจัดเชื้อไวรัสจากนั้นควรไปพบแพทย์ ทั้งนี้ควรติดตามอาการของสัตว์ที่กักอีกด้วย 12.ไข้รากสาดใหญ่ (Typhus) ไข้รากสาดใหญ่หรืออีกชื่อหนึ่งว่า ไข้ไทฟัส (Typhus)เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ในกลุ่มริคเกตเซีย โดยมีแมลงปรสิตเป็นพาหะ โรคไข้รากสาดใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ 1. ไข้รากสาดใหญ่ชนิดระบาด มักระบาดหลังสงครามหรือภัยพิบัติ อาการคือ ปวดศีรษะรุนแรงมีผื่นตามลำตัว แขนขา ปวดกล้ามเนื้อ ความดันโลหิตตก ซึม ไวต่อแสงและเพ้อ ไข้สูงสามารถรักษาได้โดยให้ยาปฏิชีวนะ 2. ไข้รากสาดใหญ่ประจำถิ่น มีหมัดเป็นพาหะ โดยจะนำเชื้อมาจากการไปกัดหนู อาการที่เห็นได้ชัดคือปวดศีรษะเป็นไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้อาเจียน รักษาให้หายได้ แต่กลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำอาจเสียชีวิตได้ 3. ไข้รากสาดใหญ่จากป่า มีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรียโดยมีพาหะเป็นไรอ่อนซึ่งพบมากตามป่าละเมาะ 13. วัณโรค (TB) วัณโรคเป็นโรคติดต่อเรื้อรังซึ่งทำให้เกิดการอักเสบในปอด มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis รับเชื้อผ่านทางการไอ จามทำให้เชื้อกระจายในอากาศ อาการที่เห็นได้ชัดคืออาการไอเรื้อรัง บางคนมีไอซ้อน ๆกันคล้ายไอกรน ปัจจุบัน วัณโรค สามารถรักษาให้หายได้ โดยการรักษาจะให้ยาร่วมกันอย่างน้อย3 ชนิดเพื่อลดอัตราการดื้อยา และเพิ่มประสิทธิภาพของยา การป้องกันทำได้โดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยที่กำลังมีอาการไอ รวมทั้งให้วัคซีน BCGป้องกันวัณโรค 14. แอนแทรกซ์ (Anthrax) โรคแอนแทรกซ์เป็นโรคที่ระบาดในสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่กินหญ้า แต่ก็สามารถแพร่กระจายมาสู่คนได้มีสาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Bacillusanthracis ซึ่งเป็นเชื้อที่มีความทนทานต่อความร้อนและความเย็นสูงและยาฆ่าเชื้อ สามารถอยู่ในธรรมชาติได้นานนับ 10 ปี โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยโรคเชื้อแอนแทรกซ์จะมีอาการไข้ และมีอาการคล้ายอาหารเป็นพิษ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจจะเกิดอาการโลหิตเป็นพิษระบบการหายใจล้มเหลว และเสียชีวิตในที่สุด ซึ่งอัตราการเสียชีวิตของโรคนี้มีสูงถึง50-60 % เลยทีเดียว 15. ทริคิโนซิส (Trichinosis) โรคทริคิโนซิส หรือโรคทริคิเนลโลซิส เป็นโรคพยาธิที่ติดต่อถึงคนโดยการบริโภคเนื้อสัตว์ดิบ หรือสุก ๆดิบ ๆ อาการที่สำคัญของผู้ป่วยคือ ปวดกล้ามเนื้อ หนังตาบนบวม ตาแดงอักเสบ มีไข้ หนาวสั่น อ่อนเพลียซึ่งผู้ป่วยส่วนมากมักจะป่วยอยู่นานหลายเดือน บางรายอาจมีอาการรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้วิธีการป้องกันที่ง่ายที่สุดคือคือ รับประทานอาหารที่ปรุงให้สุกแล้ว 16. โรคคุดทะราด เฉพาะในระยะติดต่อ โรคคุดทะราดเป็นโรคติดต่อที่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ มีสาเหตุเกิดจากเชื้อ Treponema สามารถแพร่กระจายได้ง่ายด้วยการสัมผัสกับน้ำเหลืองของผู้ป่วยในระยะที่1 และระยะที่ 2 เนื่องจากในระยะที่สามนั้นจะเป็นระยะที่ไม่สามารถแพร่เชื้อได้นอกจากนี้ยังสามารถติดเชื้อได้จากการโดนวัสดุต่าง ๆ ทิ่ม หรือตำ นอกจากนี้หากแมลงวันที่สัมผัสกับแผลเปิดของผู้ป่วยมาเกาะบริเวณแผลของผู้ที่ติดเชื้อก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้เช่นกันอาการที่สำคัญได้แก่ แปลตามผิวหนัง มีตุ้มคล้ายหูดบางรายอาจมีอาการต่อมน้ำเหลืองโต หากไม่ได้รับการรักษาอาการจะเข้าสู่ระยะหลัง ๆและทำให้เกิดความพิการได้ 17. โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็กเป็นโรคที่อาการคล้ายคลึงกับโรคโปลิโอแต่ไม่ใช่โรคเดียวกัน โดยโรคนี้เป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัยโดยเฉพาะในเด็กซึ่งจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือเป็นอัมพาตอย่างเฉียบพลันหากได้รับการรักษาที่ถูกต้องและใกล้ชิดก็สามารถหายเป็นปกติได้ 18. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรงหรือที่รู้จักกันในชื่อว่าโรคซาร์ส (SARS) เป็นโรคที่เคยเกิดการระบาดในประเทศแถบทวีปเอเชียในช่วงปีพ.ศ. 2545 โดยมีสาเหตุเกิดจากเชื้อไวรัสซาร์ส (SARS หรือ Severe Acute Respiratory Syndrome) และสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คน ได้ผ่านสารคัดหลั่งของผู้ป่วยอาการที่สามารถสังเกตได้คือ ครั่นเนื้อ ครั่นตัว ปวดกล้ามเนื่อง ไอ หายใจลำบากบางรายอาจมีอาการท้องเสียร่วมด้วย วิธีการป้องกันคือควรเลี่ยงการเข้าใกล้ผู้ป่วยแยกของใช้กับผู้ป่วยจนกว่าจะหายเพื่อไม่ให้เชื้อติดต่อกันได้ค่ะ 19. โรคไข้ปวดข้อยุงลาย โรคนี้มีอีกชื่อหนึ่งว่าโรค ชิคุนกุนยา (Chikungunya)เป็นที่เดิมมีต้นกำเนิดในทวีปแอฟริกา เกิดจากเชื้อไวรัส ชิคุนกุนยา(Chikungunya virus) และมียุงลายเป็นพาหะ ในประเทศไทยสามารถพบได้ในทุกภูมิภาค อาการของโรคที่สังเกตได้ชัดเจนคือจะมีอาการไข้สูงเฉียบพลันหรือมีผื่นแดงตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูกหรือข้อ ปวดกระบอกตาหรือมีเลือดออกทางผิวหนัง ดูผิวเผินแล้วอาจคล้ายไข้เลือดออก หรือหัดเยอรมันแต่มีอาการไม่รุนแรงเท่าแต่ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็อาจจะเรื้อรังและหรือทำให้ช็อกจนเสียชีวิตได้ 20. ไข้เลือดออก ไข้เลือดออกเป็นโรคที่มักระบาดในฤดูฝนเนื่องจากมีน้ำขังเป็นจำนวนมากเอื้ออำนวยต่อการแพร่พันธุ์ของยุงลายอันเป็นพาหะของโรค โดยผู้ป่วยจะมีไข้สูงถึง 39-40 องศาเซลเซียส หน้าแดง และมีเลือดออกเป็นจุดตามตัวตับโต บางรายมีอาการปวดท้องและช็อกได้ ซึ่งจะต้องได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออกวิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือการกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลายและระวังไม่ให้ถูกยุงกัดค่ะ 21.โรคติดเชื้อไวรัสอีโบลา (EBOLA) อีโบลาเป็นโรคที่มีความอันตรายสูงสุด เพราะมีอาการแทรกซ้อนสูง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ติดเชื้อและป่วยด้วยโรคอีโบลามักเสียชีวิตแต่ถ้าหากรักษาได้ทันท่วงทีก็ต้องใช้เวลาฟื้นฟูร่างกายอยู่นานโรคอีโบลามีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสอีโบลาและสามารถติดต่อได้จากการสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ในสารคัดหลั่งของผู้ป่วยและถึงแม้ว่าบางประเทศจะสามารถควบคุมการระบาดได้แล้วแต่ก็ยังไม่สามารถหาทางรักษาได้ ทำได้เพียงรักษาตามอาการเท่านั้น 22. โรคเมอร์ส (MERS) โรคเมอร์สหรือโรคไข้ไวรัสโคโรน่ามีถิ่นกำเนิดในประเทศแถบตะวันออกกลาง สามารถเกิดได้กับทุกช่วงวัย มีสาเหตุมาจากอูฐและค้างคาวเป็นโรคติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ โดยอาการที่สังเกตได้คือ ไอ มีไข้ หายใจลำบากบางรายแม้จะติดเชื้อแต่ก็จะแสดงอาการไม่มากนัก แต่บางรายก็อาจรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ปัจจุบันนี้ยังไม่มีวัคซีนสำหรับรักษาโรคนี้โดยเฉพาะการรักษาจะต้องรักษาแบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น ได้ทราบข้อมูลกันแบบนี้แล้วก็อย่าลืมสังเกตอาการคนใกล้ตัวและหมั่นดูแลสุขภาพให้แข็งแรงที่สำคัญคือถ้าหากพบผู้ป่วยละก็ ควรรีบทำการแจ้งความอย่างเร่งด่วนเพื่อที่หน่วยงานด้านสาธารณสุขจะได้เข้ามาทำการควบคุมไม่ให้เกิดการระบาดไปมากกว่านี้ ขอขอบคุณ กระปุก
|