เช็คอินสะสม: 200 วัน เช็คอินต่อเนื่อง: 1 วัน
ความคืบหน้าการอัพเกรด: 37%
|
สมาชิก kulasang.net เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าเนื้อหาได้อย่างสมบูรณ์
คุณจำเป็นต้อง เข้าสู่ระบบ เพื่อดาวน์โหลดหรือดูไฟล์แนบนี้ คุณยังไม่มีบัญชีใช่ไหม? สมัครสมาชิก
x
พูดถึงกรอบความคิดนั้นมีหลายคำที่ใช้เรียกขานมัน บ้างก็เรียก mental model, perception, มโนทัศน์, ความเชื่อ จะเรียกอะไรก็แล้วถ้ามันเป็นความเชื่อที่ฝังหัวและเป็นตัวฉุดรั้งเราไว้ ก็อยากเชิญชวนให้ทุกคนกลับมาทบทวนกันนิดนึงว่าความเชื่อที่เรายึดถือไว้ ณ วันนี้มันยังถูกต้องอยู่จริงหรือไม่ ลองตรวจสอบกันซักนิดนึงนะคะถ้าอะไรๆ มันเปลี่ยนไปแล้วก็วางๆ มันไปบ้าง revise ความเชื่อกันบ้างเพื่อชีวิตที่สุขขึ้นของเราค่ะ
ได้อ่านเรื่องนึงในหนังสือ "คือเมฆสีขาวทางก้าวเก่าแก่" ของท่านติช นัท ฮันห์ ซึ่งจะเล่าเกี่ยวกับพุทธประวัติ มีอยู่ตอนหนึ่งที่พระพุทธองค์ ทรงสนทนากับ ทีฆนขดาบส ในเรื่องของความเชื่อ คิดว่าน่าจะนำมาเเชร์กับพวกเราค่ะ อ่านเเล้วคิดเห็นเป็นอย่างไร ก็ post comment แลกเปลี่ยนกันนะคะ
ชายผู้ยึดติดในความเชื่อ
“เมื่อบุคคลตกอยู่ในลัทธิใดลัทธิหนึ่ง(ความเชื่อใดความเชื่อหนึ่ง) เขาย่อมสูญเสียอิสรภาพทั้งหมด เมื่อบุคคลหลงงมงายในลัทธิ (ความเชื่อ) เขามักจะเชื่อว่าลัทธิของเขาเป็นสัจจะเพียงหนึ่งเดียวและลัทธิอื่นทั้งปวงเป็นของเหลวไหล การทะเลาวิวาทและความขัดแย้งทั้งมวลมักเกิดขึ้นจากทัศนะอันคับแคบนี้ ความขัดแย้งจะขยายกว้างออกไปไม่สิ้นสุด ทำให้เวลาอันมีค่าสูญเปล่าไป และบางคราวถึงกับนำไปสู่สงคราม การยึดติดในความคิดเป็นอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่สุดที่ขัดขวางหนทางแห่งจิตวิญญาณ การผูกพันธนาการอยู่กับความคิดอันคับแคบ บุคคลย่อมถูกปิดกั้นไว้จนกระทั่งไม่ยอมให้ประตูแห่งสัจจะเปิดเข้ามาได้”
“ตถาคตขอเล่าเรื่องของพ่อม่ายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งอยู่กับลูกชายวัยห้าขวบของเขา เขาฟูมฟักเลี้ยงดูลูกชายยิ่งกว่าชีวิตของเขาเอง วันหนึ่งเขาออกไปทำธุระปล่อยลูกชายไว้ที่บ้านตามลำพัง ในระหว่างที่เขาไม่อยู่บ้านนั้นเอง กลุ่มโจรได้เข้าปล้นและเผาหมู่บ้านทั้งหมด พวกโจรได้ลักพาลูกชายของเขาไปด้วย เมื่อพ่อม่ายหนุ่มกลับมาถึงบ้าน ก็พบซากดำเป็นตอตะโกของเด็กน้อยของเขา เขาเศร้าโศกเสียใจมาก และจัดการฌาปนกิจซากศพนั้นจนเป็นเถ้าถ่าน เพราะเหตุที่เขารักลูกชายมากเหลือเกิน เขาจึงบรรจุเถ้ากระดูกไว้ในถุงไถ้ พาติดตัวไปทุกหนแห่งหลังจากนั้นอีกหลายเดือนต่อมา ลูกชายของเขาได้เล็ดลอดหลบหนีพวกโจรออกมาได้ แล้วหาทางกลับบ้าน เจ้าหนูมาถึงบ้านในยามเที่ยงคืนแล้วเคาะประตูเรียก ในขณะนั้นผู้เป็นพ่อกำลังกอดถุงเถ้ากระดูกร่ำไห้อาลัยอาวรณ์อยู่พอดี เขาไม่ยอมเปิดประตูแม้ว่าหนูน้อยจะตะโกนบอกว่าตนเป็นลูกชายของเขา เขาเชื่อว่าลูกชายของเขาตายแล้วเจ้าเด็กที่กำลังเคาะประตูนั่นคงเป็นเด็กข้างบ้านที่มาล้อเล่นกับความทุกข์โศกของเขาในที่สุดลูกชายของเขาไม่มีทางเลือก จึงต้องพเนจรจากไปด้วยเหตุนี้แล พ่อและลูกชายจึงจากกันไปชั่วนิรันดร์”
“เห็นไหม สหาย หากเรายึดติดอยู่กับความเชื่อบางอย่าง แล้วหลงว่าเป็นสัจจะสมบูรณ์ สักวันหนึ่งเราก็จะพบว่าตนเองตกอยู่ในสภาพที่ไม่ต่างกับพ่อม่ายหนุ่มคนนี้ เมื่อใดที่คิดว่าเราเข้าถึงสัจจะแล้ว เมื่อนั้นเราจะไม่สามารถเปิดใจของเราต้อนรับสัจจะได้ แม้ว่าสัจจะจะมาเคาะเรียกหน้าประตูก็ตาม”
|
|